วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 2

                   Abraham Harold Maslow : ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ 5 ขั้น
      1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs)    
      2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)  
      3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) 
      4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียง (Esteem Needs)  
      5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริง    และความสำเร็จของชีวิต      (Self–ActualizationNeeds)  
                   Douglas Mc Gregor : ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ทฤษฎี X(Theory X) เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้านไม่กระตือรือร้น ไม่ชอบงานและพยายามหลีกเลี่ยงงาน
ทฤษฎี Y(Theory Y) เป็นปรัชญาการบริการจัดการ โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
                     William Ouchi : ทฤษฎี Z
ทฤษฎี Z   บางตำราอาจจะเรียกว่ากลุ่มทฤษฎีร่วมสมัย   เป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์   การที่จะทำความเข้าใจทฤษฎี Z ได้นั้น ต้องทำความเข้าใจของทฤษฎี A และทฤษฎี J ก่อน
ทฤษฎี A   คือ   Amarican  Theory    เป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา ซึ่งให้หลักการว่า การบริหารจัดการแบบนี้ ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต
ทฤษฎี J คือ การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะประการที่ีหนึ่ง การจ้างงานตลอดชีวิต หรือ Lifetime Employment  ลักษณะประการที่สองของการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินที่ต้องได้รับการยอมรับจากที่ประชุม ซึ่งเป็นผลดี แต่ผลเสีย คือ อาจเกิดความล่าช้า
                     Henry Fayol : บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่
เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ และเขาสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ (Managerial activities) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมห้าอย่างคือ
1. การวางแผน(Planning)
2. การจัดองค์การ(Organizing)
3. การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding)
4. การประสานงาน (Coordinating)
5. การควบคุม (Controlling)
                   อังริ ฟาโยล (Henri Fayol) เป็นนักอุตสาหกรรม ชาวฝรั่งเศส
ได้นำเสนอหลักการทีเขาเรียกว่า หลักการจัดการ 14 ประการ  (Fayol's Fourteen Principles of Management)  ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
1. การจัดแบ่งงาน                                           2. การมีอำนาจหน้าที่
3. ความมีวินัย                                                  4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา
5. เอกภาพในทิศทาง                                    6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผล    ประโยชน์ส่วนตน
7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม                8. ระบบการรวมศูนย์
9. สายบังคับบัญชา                                       10. ความเป็นระบบระเบียบ
11. ความเท่าเทียมกัน                                   12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร
13. การริเริ่มสร้างสรรค์                               14. วิญญาณแห่งหมู่คณะ
                   Max   Weber : ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic Management)
โดยสรุปแล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6   ประการมี   ดังนี้  
1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ
4. องค์การต้องมีระเบียบและกฏเกณฑ์
5. ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ
                  Luther  Gulick : POSDCORB
Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม 7 ประการมีดังนี้
P    คือ   การวางแผน (planning)
O   คือ    การจัดองค์การ (organizing)
D   คือ    การสั่งการ (directing)
S    คือการบรรจุ (staffing)
CO คือการประสานงาน(co-ordinating)
R    คือการรายงาน (reporting)
B    คือการงบประมาณ (budgeting)  
                   Frederick Herzberg : ทฤษฎี 2 ปัจจัย (Two Factors Theory)
ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจโดยเฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick Herzberg) เฮิร์ซเบอร์ก    ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน    เขาได้ศึกษาโดยการสัมภาษณ์พนักงานในเรื่องของความพึงพอใจจากการทำงาน และทำให้เขาได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2   ปัจจัย  คือ
1. ปัจจัยภายนอกหรือเรียกว่า Hygiene Factors
2. ปัจจัยภายใน หรือ Motivation Factors
                   Frederick W. Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
เทย์เลอร์   ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
1. ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ
                      Henry L. Gantt : ผู้พัฒนาการอธิบายแผนโดยใช้กราฟ (Gantt Chart)
 Gantt เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านที่นำเอากราฟ "Gantt Chart" มาเป็นสื่อในการอธิบายแผน การวางแผน การจัดการ และการควบคุมองค์กรที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อให้ผู้รับฟังเกิดมิติในการรับรู้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังได้คิดวิธีจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานแบบใหม่ โดยใช้วิธีให้สิ่งจูงใจ
                    Frank B. & Lillian M. Gilbreths : Time – and – Motion Studies
แนวคิดของ Gilbreth เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง (the o­ne best way to do work)

บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
             การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Cameralists”ให้คำจำกัดความ  การบริหาร  หมายถึง  การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ  ของรัฐ    ต่อมาพวกอเมริกันที่เรียกว่า  Federalist  ให้ความหมาย  การบริหารว่า  เป็นการบริหารของรัฐ   หรือการบริหารตามแนวรัฐศาสตร์         
             ความสำคัญของการบริหาร  เป็นการดำรงอยู่รวมกันของมนุษย์  เป็นผลทำให้การบริหารของหน่วยงานต่างๆได้ขยายงานอย่างกว้างขวางคำว่าการบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ  เพื่อพัฒนาสังคมในทุกๆด้าน
            สำหรับปรัชญาของการศึกษามีอยู่  13  ประการ  คือ
1.ผู้บริหารต้องใช้ความฉลาดไหวพริบมาใช้แก้ปัญหา                                                              
2. ผู้บริหารต้องเปิดให้คนเข้าร่วมในการททำงาน                                                              
3.ผู้บริหารต้องเคารพความเป็นคนของแต่ละคน                                                                        
4.ผู้บริหารต้องยึดเป้าหมายของการศึกษาเป็น                                                        
5.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้ประสานประโยชน์                                                                
6.ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้คนเข้าพบทำความเข้าใจ                                                       
7.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้นำ                                                                                       
8. ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองคือนักศึกษาผู้ยึดมั่น                                                                    
9. ผู้บริหารต้องเสียสละทุกอย่าง                                                                                                
10. ผู้บริหารจะต้องประสานงาน                                                                                    
11.ผู้บริหารจะต้องบริหารงานอยู่เสมอ                 
12. ผู้บริหารต้องเคารพในวิชาชีพของการบริหาร                                                                      
13.ผู้บริหารต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ  และแสวงหาความชำนาญ

บทที่  2
วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
1.วิวัฒนาการด้านรัฐกิจ   การบริหารงานของรัฐ
2. วิวัฒนาการด้านธุรกิจ   การจัดการ
3. การแบ่งยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหาร 
ยุคที่1  นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม
-  การประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษา                                                                                                                                                                                                                                                                      
ยุคที่2  ยุค  Human  Relation  Era  ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์                                                                        
  - การประยุต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษา                                                                                                          

ยุคที่3  ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ                                                                                         
 -การประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์ในการบริหารการศึกษา                                                                   
 -  ทฤษฎีองค์การเชิงระบบ                                                                                                                            
 -  การประยุกต์เชิงระบบในการบริหารการศึกษา

บทที่  3
งานบริหารการศึกษา
เครือข่ายทางการศึกษาดังนี้                                                                                                      
 1.การผลิต  หมายถึง  กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้น  ในทางการศึกษา                        
2.การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน  หมายถึง  กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
3.การเงินและการบัญชี  หมายถึง  การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ  
4.บุคลากร  คือ  การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย                                                               
 5.การประสานงาน  คือ  เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา

บทที่  4
กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
การบริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ  เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา  การบริหารราชการ  และการบริหารธุรกิจจะแตกต่างกัน  และปรัชญาการศึกษา  ในการบริหารการศึกษาผู้บริหารนั้นจะต้องรู้เกี่ยวกับหลักการบริหาร  ที่สามารถนำไปเป็นหลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี  เรื่อง  คือ  1.การจัดระบบสังคม,2.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
            สำหรับหลักการจัดระบบการศึกษา  ไม่ว่าระดับชาติ  ระดับท้องถิ่น  ระดับโรงเรียน  คือ  จะต้องรู้จักเด็กทุกคน  โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญา สภาพแวดล้อมของโรงเรียน  และมีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกันโดยกระบวนการบริหารการศึกษา  เป็นความคิดรวบยอดและเป็นการจัดระบบการศึกษา  ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน

บทที่  5
องค์การและการจัดองค์การ
เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น  ลักษณะใหญ่ๆคือ
1.องค์การทางสังคม  
2.องค์การทางราชการ     
3.องค์การเอกชน
แนวคิดในการจัดองค์การ
1.  แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
2.  แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง  ผู้ปฏิบัติงาน
3.  แนวในการจัดการองค์การ  จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป
ความสำคัญของการจัดองค์การ   เพื่อให้พนักงานขององค์การ  ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
หลักการในการจัดองค์การ
1.  หลักวัตถุประสงค์                                    2.  หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
3.  หลักการประสานงาน                            4.   หลักการบังคบบัญชา
5.  หลักความรับผิดชอบ                              6.  หลักความสมดุล
7.  หลักความต่อเนื่อง                                  8.  หลักการโต้ตอบและการติดตาม
9.  หลักขอบเขตของการควบคุม               10.  หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
11.  หลักตามลำดับขั้น                                 12.  หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
องค์ประกอบในการจัดองค์การ
1.  หน้าที่การงานเป็นภารกิจ  
2.  การแบ่งงานกันทำ
3.  การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ
ประเภทขององค์การรูปนัย  
แบ่งออก  ประเภท
1.  สมาคมเพื่อประโยชน์ของสมาชิก              2.  องค์การทางธุรกิจ
3.  องค์การเพื่อบริการ                                     4.  องค์การเพื่อสาธารณชน
ทฤษฎีองค์การ  คือ  ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีขององค์การอันด้มาจากสังคมวิทยา  รัฐศาสตร์  และบางส่วนของจิตวิทยาสังคมกับเศรษฐศาสตร์           
ระบบราชการ  หมายถึง  ระบบการบริหารที่มีลักษณรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก  มีความอิสระในการปฎิบัติงานและเป็นกึ่งทหาร

บทที่ 6
การติดต่อสื่อสาร
การติดต่อสื่อสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการบริหารที่ดี มีความหมายว่ากระบวนการติดต่อเกี่ยวข้องและประสานงานกันระหว่างบุคคล โดยอาศัยวิธีการถ่ายทอด และการรับข้อมูลเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ การติดต่อสื่อสารจึงมีความสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดหรือเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันและยังมีความสำคัญในการดำเนินการในองศ์การอย่างมาก ปัจจัยในการติดต่อสื่อสารมี 3 ตัว คือ สื่อ ช่องทางที่สื่อผ่านและกระบวนการ รูปแบบของการติดต่อสื่อสาร การจัดเตรียม การสังเกตการณ์ของกระบวนการ การจำแนกปัจจัยผันแปร

บทที่ 7
ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ หมายถึง    การเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน หน้าที่ผู้นำเกี่ยวข้องกับ การอำนวย การจูงใจ การริเริ่ม กำหนดนโยบาย วินิจฉัยสั่งการ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ มีผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์ ผู้นำกับผู้บริหารจะแตกต่างกันคือผู้นำก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้รักษาความมั่นคงในหน่วยงาน

บทที่ 8
การประสานงาน
การประสานงาน คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่งๆร่มมือปฎิบัติงานเป็นน้ำหนึ่งเดี่ยวกัน เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบาย ความมุ่งหมายในการประสานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานโดยไม่จำเป็น และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน ภารกิจในการประสานงานที่ดี ควรทราบถึงภารกิจที่ดีในการประสานงานคือต้องทราบนโยบาย แผนงาน งานที่รับผิดชอบ และทรัพยากร ส่วนหลักการประสานงานควรจัดให้มีระบบในการสื่อสาร ความร่วมมือ การประสานงานและนโยบายที่ดี และในการประสานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

บทที่ 9
การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
การตัดสินใจคือการชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือการสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางขึ้นไป หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน  ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก และการแสวงหาคำแนะนำ

 บทที่ 10
          ภารกิจของผู้บิหารโรงเรียน
ผู้บริหารโรงเรียน  ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆจะมีหลายด้านดังนี้                            
1.บริหารงานวิชาการ                                          
2.การบริหารบุคคล                                             
3.การบริการธุรการในโรงเรียน                    
4.การบริหารงานนักเรียน                             
5.การบริหารอาคารสถานที่และบริการด้านอื่นๆ






วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 1

                             ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
 
ความหมายของการบริหารการศึกษา
                     การบริหาร  หมายถึง    การทำงานของคณะบุคคล  ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป  เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียงกัน  โดยการใช้ศาสตร์และศิลปะนำทรัพยากรการบริหารมาประกอบการตามกระบวนการบริหารให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ      
            การศึกษา   หมายถึง    การจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมแก่ผู้เรียน   เพื่อความเจริญงอกงามทั้ง  ร่างกาย  อารมณ์   สังคม  และสติปัญญา  
            การบริหารการศึกษา   หมายถึง    กิจกรรมต่างๆที่บุคคลหลายคนร่วมมือกันดำเนินการ  เพื่อพัฒนาเด็ก   เยาวชน  และประชาชน    ให้มีความรู้   ความสามารถ   มีคุณธรรม  จริยธรรม  เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  

ความแตกต่างของการบริหารการศึกษากับการบริหารอื่นๆ โดยวิเคราะห์จากทฤษฎี 4 Ps

1. Purpose (ความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์)   การบริหารราชการแผ่นดินมีความมุ่งหมาย
เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข     การบริหารธุรกิจมีความมุ่งหมายเพื่อต้องการกำไรเป็นตัวเงิน    แต่การ
บริหารการศึกษามีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ไม่หวังผลกำไรเป็นตัวเงิน
2. People (บุคคล)
2.1 ผู้ให้บริการ   บุคคลทีเป็นผู้ให้บริการในการบริหารการศึกษา คือ ครู อาจารย์
ผู้อำนวยการโรงเรียน อธิการบดี ตลอดจนผู้บริหารการศึกษาต้องเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ  ซึงเป็นบุคคลที่แตกต่างไปจากผู้บริหารหรือบุคคลทีเป็นผู้ให้บริการในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารธุรกิจ
2.2 ผู้รับบริการ   บุคคลที่เป็นผู้รับบริการในการบริหารการศึกษา   ส่วนมากเป็นผู้เยาว์ หรือเด็กที่ต้องพัฒนาให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพต่อไป   แต่บุคคลที่เป็นผู้รับบริการในการบริหารราชการแผ่นดิน และ การบริหารธุรกิจ ส่วนมากเป็นบุคคลทีบรรลุนิติภาวะหรือเป็นผู้ใหญ่แล้ว
3. Process (กรรมวิธีในการดำเนินงาน)     การบริหารการศึกษามีกรรมวิธีทีละเอียดอ่อน มีกรรมวิธีในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพทีหลากหลาย และแตกต่างกับกรรมวิธีของการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริหารธุรกิจอย่างสินเชิง นอกจากนันการรบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารธุรกิจจะนำกรรมวิธีทางการบริหารการศึกษาไปใช้ไม่ได้อีกด้วย
4. Product (ผลผลิต)   ผลผลิตทางการบริหารการศึกษา คือได้คนทีมีคุณภาพซึงเป็นนามธรรม    แต่ผลผลิตทาง   การบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารธุรกิจเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่าย

ภารกิจทางการบริหารการศึกษา หรือ งานบริหารการศึกษา
ภารกิจในการบริหารการศึกษา หรืองานบริหารการศึกษา โดยทัวไปจำแนกออกเป็น 5 ประเภท คือ
1. การบริหารงานวิชาการ    เป็นการดำเนินงานทีเกียวกับการเรียนการสอน ซึงครอบคลุมเกียวกับการนำหลักสูตรไปใช้การทำแผนการสอน   การปรับปรุงการเรียนการสอน    การใช้สือการสอนการประเมินผลการวัดผลและการนิเทศการสอน
2. การบริหารงานธุรการ   เป็นการดำเนินงานทีเกียวกับงานการเงิน วัสดุครุภัณฑ์ อาคารสถานที งานสารบรรณ งานรักษาพยาบาล และงานบริการต่างๆ
3. การบริหารงานบุคคล   เป็นการดำเนินงานทีเกียวกับบุคคล เริมตังแต่การสรรหาบุคคลมาทำงานหรือมาเป็นครู การจัดบุคคลเข้าทำงาน การบำรุงรักษาและการสร้างเสริมกำลังใจในการทำงาน การพัฒนาบุคคล และการจัดบุคคลให้พ้นจากงาน
4. การบริหารกิจการนักเรียน   เป็นการดำเนินงานทีเกียวกับนักเรียน เช่น การปฐมนิเทศนักเรียน การปกครองนักเรียน   การจัดบริการแนะแนว   การบริการเกี่ยวกับสุขภาพนักเรียน   การจัดกิจกรรม   และการบริการต่างๆ
5. การบริหารงานด้านความสัมพันธ์กับชุมชน   เป็นการบิหารงานทีเกียวกับความสัมพันธ์กับชุมชน เช่น การสอนให้นักเรียนนำความรู้ทีเรียนไปใช้ทีบ้านทีชุมชน และเผยแพร่แก่คนรอบข้างคนในชุมชนด้วย

งานวิจัยเกียวกับงานการบริหารการศึกษาทั 5 ประเภท
1.การวิจัยเรื่องปัญหาการบริหารงานในโรงเรียนโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา ขั้นพืนฐานทีรับนักเรียนชาวเขา   สังกัดสำนักการประถมศึกษาจังหวัด :  การศึกษาเฉพาะกรณีจังหวัดน่าน
2.การวิจัยเรือง งานบริหารการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตศึกษาทั 12 เขต และกรุงเทพมหานคร
3.การวิจัยเรือง การใช้เวลาในการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตศึกษา 11”
4.การวิจัยเรือง งานบริหารการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ในภาคใต้
5.การวิจัยเรือง การปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครราชสีมา